Part
3 อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
|
ดอยอินทนนท์ |
|
ดอยอินทนนท์ |
วันนี้เราหวังว่าจะเป็นไฮไลท์ของทริปเชียงใหม่ของเรา
เราเริ่มออกเดินทางจากที่พักแถวๆ ม.แม่โจ้ ใน อ.สันทราย ประมาณ 8
โมง ก่อนขึ้นดอยมีโปรแกรมแวะนั่นแวะนี่หลายที่อยู่เหมือนกัน (สงสารคนขับรถเก๊าจัง ^^!)
สถานที่แรกเป็นวัดพระธาตุดอยคำ
วัดเก่าแก่อายุกว่า 1,700
ปี อยู่ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์
ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10
กม. ที่นี่มีหลวงพ่อทันใจที่มีชื่อเสียงมากในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์
มีคนไปบนบานและประสบความสำเร็จตามที่ขอ ได้นำพวงมาลัยดอกมะลิมาแก้บนกันมากมาย ปลาก็ไปกราบขอพรกับเค้าเหมือนกัน แต่ขอไม่บอกนะฮร้าว่าขอเรื่องอะไร อิอิ
ออกจากวัดพระธาตุดอยคำ ขับรถไปตามเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ เราได้แวะไปที่พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ตั้งใจว่าจะแวะไปให้ได้ พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่บนถนนเชียงใหม่-
ฮอด (
อินทนนท์)
ต.ยางคราม อ.ดอยหล่อ ภายในมีการจัดสถานที่ไว้ให้บูชาขอพรต่อองค์พระพิฆเนศ
และมีส่วนที่จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าความเป็นมาของพระพิฆเนศปางต่างๆ
และแสดงรูปปั้นพระพิฆเนศของแต่ละประเทศ โดยจะมีเจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังค่ะ
ซึ่งบริเวณนี้จะไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ ด้านในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดสร้างเทวาลัยพระคเนศ
ซึ่งภายในเทวาลัยได้จำลองคณปติโลก (โลกที่ประทับของพระพิฆเนศ) อิฐทุกก้อนของเทวาลัยแห่งนี้ผ่านการสวดและลงอักขระก่อนนำมาประกอบเป็นเทวาลัย ใครที่ได้เข้าไปสักการะพระพิฆเนศในเทวาลัยแห่งนี้
จึงเปรียบเสมือนได้สักการะพระองค์ถึงในวิมานทีเดียวค่ะ
|
วัดพระธาตุศรีจอมทอง |
|
วัดพระธาตุศรีจอมทอง |
|
พิพิธภัณ์พระพิฆเนศ |
|
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ |
|
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ |
|
พิพิธภัณฑ์พระพิฆเนศ |
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ
หาที่นอนสำหรับคืนนี้ให้ได้ก่อน เราไปติดต่อขอเช่าเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเต็นท์ที่นี่ก็จะคล้ายๆ กับที่ห้วยน้ำดังค่ะ
แต่ที่นี่เจ้าหน้าที่จะเขียนหมายเลขเต็นท์ที่ว่างให้เราก่อน
แล้วเราถึงค่อยขับรถขนสัมภาระไปไว้ที่เต็นท์ตามหมายเลขที่ได้รับ ซึ่งบริเวณที่กางเต็นท์เป็นลานสนขนาดใหญ่
ห่างจากสำนักงานอุทยานแห่งชาติประมาณ 1
กิโลเมตร ทุลักทุเลนิดหน่อย
เพราะต้องแบกเบาะรองนอน แบกหมอนขึ้นมอเตอร์ไซต์มา หลังจากเอาของไว้ในเต็นท์เรียบร้อย
ก็ออกสำรวจกันค่ะ เราเข้าไปเยี่ยมชมสถานีเกษตรของที่นี่ ซึ่งคล้ายๆ กับที่ดอยอ่างขาง
และได้ไปเที่ยวน้ำตกสิริภูมิที่อยู่บริเวณเดียวกัน น้ำตกแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่นัก
แต่ไหลลงมาจากเขาสูงมาก มองเห็นได้ในระยะไกล บริเวณน้ำตกก็ร่มรื่นมาก
ปกคลุมไปด้วยพืชจำพวกเฟิร์น มอส ชุ่มชื้นตั้งแต่ก้าวเข้าไปเลยล่ะ หลังจากเที่ยวเล่นในสถานีกันพอกรุบกริบ
ก็ขับรถไปดูตลาดชาวเขาที่ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยว
ซึ่งอยู่ใกล้กับสำนักงานอุทยานแห่งชาติค่ะ ในตลาดก็จะขายทั้งผัก ผลไม้เมืองเหนือ
ผักสดน่ากินสุดๆ เพราะเพิ่งเก็บมาจากไร่ ผลไม้ก็มีทั้งท้อ อะโวคาโด้
และก็มีอัลมอนด์ดอย อันนี้เด็ดมาก อร่อยน้ำตาไหล เป็นอัลมอนด์ที่คั่วทั้งเปลือกกับคาราเมลหรืออะไรสักอย่างแต่หอมมาก
กินแล้วหยุดไม่ได้จริงๆ ค่ะ นอกจากนี้ก็มีพวกเครื่องเงิน เครื่องประดับ แหวน สร้อย
เสื้อผ้าของชาวพื้นเมือง ชาวเขาเผ่าต่างๆ ราคาก็ต่อรองได้ค่ะ
เดินชมตลาดจนฉ่ำใจแล้วเราก็กลับเข้าที่พัก มื้อเย็นของเราวันนี้เป็นหมูกระทะ
ปิ้งย่างกันหน้าเต็นท์ ไม่สะดวกแต่สนุกมากค่ะ กินเสร็จก็เดินย่อยสักแป๊บ
แล้วซุกตัวเข้าถุงนอนทีเวลานี้เป็นสรรค์ที่แสนอบอุ่นของเรา ออมแรงไว้ตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
ซึ่งเราคาดการณ์ว่าต้องหนาวมากแน่ๆ ก็ขนาดอยู่แถวนี้ยัง 10
องศา
ขึ้นไปอีกสิบกว่ากิโลเมตรนี่ มีปวดร้าวกระดูกแน่นอน หลับยาวไปถึงตีสอง
ตื่นเพราะปวดฉี่ ห้องน้ำที่นี่ ถือว่าดีที่สุดตลอดทริปที่เราไปกันมาค่ะ
ห้องน้ำกว้าง มีสายฉีดชำระ แถมมีห้องอาบน้ำอุ่นด้วย
แต่ห้องอาบน้ำอุ่นมีไว้สำหรับคนพิการนะคะ แต่เห็นคนปกติก็เข้าอาบกัน แฮร่!!
ก็มันหนาว
เข้าใจได้ ส่วนปลากับแฟน ไม่ต้องถามค่ะ เพราะไม่อาบอีกเหมือนเดิม ดี๊ดี 555+
จากนั้นเราก็ขับรถลงมาที่จุดชมวิวกิ่วแม่ปานอีกครั้ง มานั่งกินข้าวต้มร้อนๆ
กับขนมปังปิ้งคลายหนาว หลังจากนั้นใกล้ๆ กันจะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน
ซึ่งถ้าใครไม่สังเกตอาจพลาดจุดนี้ได้ค่ะ ซึ่งอยากจะบอกว่าจุดนี้คือจุดที่พีคสุดๆ ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ
การขึ้นไปเดินศึกษาธรรมชาติบนเส้นทางนี้จะต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทางไปด้วย และต้องไปกันเป็นกรุ๊ป กรุ๊ปละกี่คนก็ได้ แต่ละกรุ๊ปจะต้องจ่ายค่านำทางกรุ๊ปละ 200
บาทต่อไกด์
1
คนค่ะ เส้นทางที่ให้เดินประมาณ 3
กม. นิดๆ
มีทั้งหมด 21
จุดค่ะ ห้ามเดินออกนอกเส้นทางเด็ดขาด อาจจะหลงได้ง่ายๆ ค่ะ แต่ละจุดจะมีลักษณะทางธรรมชาติที่แตกต่างกัน ไกด์ก็จะให้ความรู้เราเรื่องต้นไม้
ธรรมชาติต่างๆ ของป่า ซึ่งเมื่อเดินไปถึงประมาณจุดที่ 15
จะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด
ซึ่งมันสวยอลังการมากจริงๆ ค่ะ เห็นวิวได้กว้างสุดๆ เห็นทะเลหมอกสวยๆ ปกคลุมทิวเขา
มองเห็นพื้นดินเบื้องล่างแบบรำไรๆ ซึ่งเป็นหมู่บ้านและชุมชนของ อ.แม่แจ่ม
บางคนจึงเรียกที่นี่ว่าสวรรค์ชั้น 7
เราเดินขนาบกับเส้นขอบฟ้าไปเรื่อยๆ
ณ ขณะนั้นคือลืมหมดทุกสิ่ง เพราะวิวมันสวยมากจริงๆ และที่พีคกว่านั้นคือเราได้เจอกวางผา
สัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธ์แบบตัวเป็นๆ ออกมารับลมที่ชะง่อนหินเบื้องล่าง เวรี่กรี๊ดเลยคร้าบบบบ อย่างที่ทราบว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของกวางผา
ซึ่งมีไม่กี่แห่งในประเทศไทย และเป็นที่ที่เราจะพบเห็นกวางผาได้ง่ายตอนนั้นเข้าใจพี่ติ๊ก
เนวิเกเตอร์แล้วล่ะ ว่าทำไมถึงชอบเดินป่า ^^ อารมณ์มันพลุ่งพล่าน แตกต่างจากที่เราดูสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์อย่างสิ้นเชิง
ฟินสุดๆ ระหว่างเส้นทางก็จะมีพรรณไม้แปลกๆ
ซึ่งทางไกด์ก็จะให้คำแนะนำเราว่าเป็นต้นอะไรบ้าง สนุกสุดๆ ค่ะ
|
ดอยอินทนนท์
|
|
ดอยอินทนนท์
|
|
ดอยอินทนนท์
|
|
ดอยอินทนนท์
|
|
ดอยอินทนนท์ |
|
ดอยอินทนนท์ |
|
ดอยอินทนนท์ |
ชื่นชมกับความงามของธรรมชาติจนอิ่มหนำแล้ว
เราก็โบกมือบ๊ายบายดอยอินทนนท์ ออกเดินทางต่อไปยังน้ำตกแม่ยะ ซึ่งอยู่ใน อ.จอมทอง
น้ำตกแม่ยะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ มีทั้งหมด 32 ชั้น ช่วงที่เราไปกันน้ำน้อย แต่ก็ถือว่ายังสายงามอยู่ค่ะ
ถ่ายรูปกันเพลินเลยทีเดียว บริเวณน้ำตกจะมีโขดหินค่อนข้างเยอะ และน้ำตกไหลแรงค่ะ
ไม่ค่อยเหมาะกับการเล่นน้ำเท่าไร เราพักผ่อนที่น้ำตกกันพักใหญ่ก็ออกเดินทางกันต่อ
กลับถึงที่พักใน อ.สันทราย 5 โมงเย็นพอดี เอารถไปคืนเรียบร้อยก็เตรียมตัวกลับ
|
ดอยอินทนนท์ |
จบทริปแบบฟินาเล่จริงๆ บ๊ายยยบายเชียงใหม่ เมืองที่แสนละมุนละไม ไฉไลทุกจังหวะชีวิต กลับไปใช้ชีวิตวุ่นวายใน กทม. กันต่อ คงได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน ใครอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคำถามจ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น